สรุปความแตกต่าง Odoo Enterprise vs Community ฉบับเข้าใจง่าย

สรุปความแตกต่าง Odoo Enterprise vs Community ฉบับเข้าใจง่าย
แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ?
หนึ่งในคำถามแรกที่เจ้าของธุรกิจมักถามเมื่อสนใจนำ Odoo ERP มาใช้ในองค์กรคือ "ระหว่างเวอร์ชันฟรี (Community) กับเวอร์ชันเสียเงิน (Enterprise) ต่างกันอย่างไร? และคุ้มไหมที่จะจ่าย?"
แม้ว่าพื้นฐานของทั้งสองตัวจะมาจากซอร์สโค้ดเดียวกัน แต่ฟีเจอร์และการใช้งานจริงนั้นแตกต่างกันราวกับ "รถรุ่นมาตรฐาน" กับ "รถรุ่นท็อปออปชันเต็ม" บทความนี้จะสรุปข้อแตกต่างสำคัญให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ก่อนเริ่มโครงการ วางระบบ Odoo ครับ
1. Odoo Community: ของฟรีที่ดี แต่มีข้อจำกัด
เวอร์ชันนี้คือ Open Source ที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปติดตั้งเองได้ฟรี ไม่มีค่า License รายปี
- ข้อดี: ประหยัดงบประมาณค่าซอฟต์แวร์ เหมาะสำหรับนักพัฒนาหรือบริษัทที่มีทีมไอทีเก่งๆ ที่สามารถดูแลเซิร์ฟเวอร์และเขียนโค้ดเพิ่มเองได้
- ข้อจำกัด: ฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างถูกตัดออก เช่น ระบบบัญชีเต็มรูปแบบ (Full Accounting), การใช้งานผ่าน Mobile App, และเครื่องมือปรับแต่ง (Studio) นอกจากนี้การอัปเกรดเวอร์ชันทำได้ยากมากและไม่มีบริการ Support จาก Odoo โดยตรง
2. Odoo Enterprise: ครบเครื่อง มืออาชีพ เพื่อการเติบโต
เวอร์ชันนี้ต้องเสียค่า License รายปี (คิดตามจำนวน User) แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือฟีเจอร์ที่ช่วยลดเวลาทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจได้อย่างมหาศาล
- ข้อดี: ได้ฟีเจอร์ครบทุกโมดูล (All Modules), ใช้งานผ่าน Mobile App ได้ลื่นไหล, มีระบบ Studio ไว้ปรับแก้หน้าจอเองได้ง่ายๆ, และรองรับการอัปเกรดเวอร์ชันใหม่ได้ตลอดอายุสัญญา
- เหมาะกับใคร: ธุรกิจที่ต้องการความเสถียร ต้องการฟีเจอร์ระดับ Advance และไม่อยากเสียเวลาปวดหัวกับเรื่อง Technical
3. เจาะลึก 3 จุดต่างสำคัญ (Decision Breaker)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดู 3 ฟีเจอร์หลักที่ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ยอมจ่ายเงินเลือก Enterprise ครับ
A. ระบบบัญชี (Accounting)
- Community: ทำได้แค่ "ออกบิล" (Invoicing) และบันทึกรับจ่ายพื้นฐาน แต่ดูงบการเงินแบบ Real-time ไม่ได้
- Enterprise: คือระบบบัญชีเต็มรูปแบบ รองรับ Dynamic Reports (งบดุล, งบกำไรขาดทุน) สามารถ Drill-down ดูที่มาของตัวเลขได้ มี AI ช่วยลงบัญชีอัตโนมัติ และรองรับไฟล์ธนาคาร ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการ วางระบบ Odoo ให้ฝ่ายบัญชีใช้งานได้จริง
B. การใช้งานบนมือถือ (Mobile Experience)
- Community: ต้องเข้าผ่าน Web Browser บนมือถือ ซึ่งอาจใช้งานไม่สะดวกในบางเมนู
- Enterprise: มี Native Mobile App ให้โหลดใช้ได้เลย รองรับการแสกนบาร์โค้ดผ่านกล้องมือถือ เหมาะมากสำหรับทีมคลังสินค้าหรือเซลล์ที่ต้องออกไปพบลูกค้า
C. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง (Odoo Studio)
- Community: ถ้าอยากเพิ่มช่องเก็บข้อมูลหรือแก้ฟอร์มรายงาน ต้องให้โปรแกรมเมอร์แก้โค้ดเท่านั้น
- Enterprise: มีเครื่องมือ "Odoo Studio" ให้คุณลาก-วาง (Drag & Drop) เพื่อสร้างแอปฯ ใหม่ หรือแก้ไขหน้าจอได้เองโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
สรุป: เลือกแบบไหนดี?
คำแนะนำจาก ที่ปรึกษา Odoo มืออาชีพส่วนใหญ่คือ:
- หากคุณเป็น Startups เล็กๆ หรือต้องการแค่ระบบขายหน้าร้าน (POS) ง่ายๆ Community อาจเพียงพอ
- แต่หากคุณเป็น SME หรือ Corporate ที่ต้องการระบบบัญชีที่ถูกต้อง, ต้องการเชื่อมโยงสต็อกกับการผลิต, และต้องการความต่อเนื่องทางธุรกิจในระยะยาว Odoo Enterprise คือการลงทุนที่คุ้มค่ากว่ามาก เพราะช่วยประหยัดค่าจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนส่วนเสริม และได้รับการรับรองจากเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง
การเลือกเวอร์ชันผิดอาจทำให้โครงการบานปลายในภายหลัง ดังนั้นก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ความต้องการให้รอบด้านครับ
สารบัญ
related blogprocess
บทความอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ




